เมนู

8-10 อรรถกถามหาทิฏฐิสูตรเป็นต้น

ถึงสูตรที่ 10



บทว่า อกฏา คือ (กายทั้ง 7) ไม่มีใครสร้าง.
บทว่า อกฏวิธา คือ ไม่มีใครทำการจัดแจง (ให้สร้าง) อธิบายว่า
แม้ที่ใคร ๆ ให้ทำด้วยบอกว่า จงทำอย่างนี้ ก็ไม่มี.
บทว่า อนิมฺมิตา คือ ไม่มีใครเนรมิตแม้ด้วยฤทธิ์.
บทว่า อนิมฺมิตวิธา คือ การจัดแจง ไม่มีใครเนรมิตแล้ว. อธิบาย
ว่า ไม่ใช่ที่ใคร ๆ ควรเนรมิตได้ ปาฐะว่า อนิมฺมิตพฺพา ดังนี้บ้าง.
บทว่า วญฺฌา คือ ไม่มีผล ได้แก่ ไม่ให้เกิดผลอะไร ๆ เหมือน
สัตว์เลี้ยงที่เป็นหมัน และตาลที่เป็นหมัน (ตาลตัวผู้) เป็นต้น1
บทว่า กูฏฏฺฐา ความว่า ยืนหยัดอยู่เหมือนยอดภูเขา (เพราะเหตุนั้น)
จึงชื่อว่า กูฏัฏฐา
บทว่า เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตา ตั้งอยู่ เป็นเหมือนตั้งอยู่ดุจเสาระเนียด
เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตา อธิบายว่า เสาระเนียดที่ฝังดี
แล้ว ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวฉันใด กายก็ตั้งอยู่ฉันนั้น.
บทว่า น อิญฺชนฺติ ความว่า ไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด
ฉะนั้น
บทว่า น วิปริณมนฺติ ความว่า ไม่ละปกติ.
บทว่า น อญฺญมญฺญํ พฺยาเธนฺติ ความว่า ไม่เบียดเบียนกันและกัน.
บทว่า นาลํ แปลว่า ไม่สามารถ.
1. อรรถกถาเป็น วชฺฌาติ ปํสุวชฺฌา ตาลาทโย วิย. ฉบับพม่าเป็น วญฺฌปสุวญฺฌตาลาทโย วิย.
บาลีเป็น วญฺฌา แปลตามฉบับพม่า

ในบทว่า ปฐวีกาโย เป็นต้น มีอธิบายว่า ปฐวีนั่นแล ชื่อว่า
ปฐวีกายะ (กองดิน) หรือปฐวีสมูหะ (มูลดิน).
บทว่า สตฺตนฺนํ เตฺวว กายานํ มีความว่า ศัสตราที่ฟันลงไปใน
กองถั่วเขียวเป็นต้น ย่อมแทรกเข้าไปในระหว่างถั่วเขียวเป็นต้น ฉันใด
ศัสตราก็แทรกเข้าไปในระหว่าง คือทางช่อง ได้แก่ ทางที่ว่างของ
กายทั้ง 7 ฉันนั้น.
ในการฆ่านั้น พวกมิจฉาทิฏฐิแสดงว่า จะมีแต่เพียงหมายรู้อยู่
อย่างเดียวเท่านั้นว่า เราปลงผู้นี้จากชีวิต (ฆ่าสัตว์).
มิจฉาทิฏฐิกบุคคล (ผู้นิยมในลัทธินี้) พากันแสดงการปลงใจ
เชื่อแบบไร้ประโยชน์ (ที่ได้มา) ด้วยเหตุเพียงการตรึกแต่เพียง
อย่างเดียว (โดยใช้หลักตักกวิทยาเพียงอย่างเดียว) ว่า กำเนิดใหญ่ คือ
กำเนิดที่สำคัญ มี 1,400,000 รวมกับกำเนิดอื่นอีก 6,600 และกรรม
อีก 500 ด้วยบทว่า โยนิปมุขสตสหสฺสานิ.
แม้ในบทว่า ปญฺจ จ กมฺมานิ ตีณิ จ กมฺมานิ (กรรม 5 และ
กรรม 3) เป็นต้น ก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้.
ฝ่ายอาจารย์บางพวกกล่าวว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหลาย
กล่าวถึงกรรม 5 ด้วยอำนาจอินทรีย์ 5 กล่าวถึงกรรม 3 ด้วยอำนาจ
กายกรรม เป็นต้น.
ส่วนในบทว่า กมฺเม จ อฑฺฒกมฺเม จ (กรรมและกรรมครึ่งหนึ่ง)นี้
มีอธิบายว่า กายกรรมและวจีกรรมของเจ้าลัทธินั้น ได้ชื่อว่าเป็นกรรม
มโนกรรม ได้ชื่อว่า เป็นกรรมครึ่งหนึ่ง.
มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า ปฏิปทา มี 62 ด้วยบทว่า ทวฏฺฐิปฏิปทา.

บทว่า ทฺวฏฺฐนฺตรกปฺปา ความว่า ในกัปใหญ่กัปหนึ่ง มีกัปชื่อว่า
อันตรกัป (กัปย่อย) 64 กัป.
แต่ว่า เจ้าลัทธินี้ ไม่รู้กัปอื่นอีก 2 กัป (สังวัฏฏฐายีกัป 1
วิวัฏฏฐายีกัป 1) จึงกล่าวอย่างนี้.
มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวถึง อภิชาติ (กำเนิด) 6 เหล่านี้ คือ
กัณหาภิชาติ 1 นีลาภิชาติ 1 โลหิตาภิชาติ 1 หลิททาภิชาติ 1
สุกกาภิชาติ 1 ปรมสุกกาภิชาติ 1
ด้วยบทว่า ฉฬาภิชาติโย.
มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า บรรดากำเนิดทั้ง 6 นั้น โอรัมภิก-
กำเนิด
(การเกิดเป็นนายพรานแกะ) สูกริกกำเนิด (การเกิดเป็น
นายพรานสุกร) สากุณิกกำเนิด (การเกิดเป็นนายพรานนก) มาควิกกำเนิด
(การเกิดเป็นนายพรานเนื้อ) ลุทธกำเนิด (การเกิดเป็นนายพราน)
มัจฉมาฏกกำเนิด (การเกิดเป็นชาวประมง) โจรกำเนิด (การเกิดเป็น
โจร) โจรฆาฏกำเนิด (การเกิดเป็นเพชฌฆาต ฆ่าโจร) พันธนาคาริก-
กำเนิด (การเกิดเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ) ก็หรือว่า การงานที่ต่ำต้อย
เหล่าอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้ ชื่อว่า กัณหาภิชาติ (กำเนิดดำ).
กำเนิดภิกษุ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า นีลาภิชาติ (กำเนิดเขียว)
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น ใส่หนามลงไปในปัจจัย 4 แล้วจึงฉัน (อาหาร)
และภิกษุทั้งหลายก็เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยอาศัยหนาม ก็บาลีดังว่ามานี้
เป็นบาลีของภิกษุนั้นนั่นแล.
อีกอย่างหนึ่ง เขากล่าวกันว่า นักบวชทั้งหลาย เป็นเหมือนอยู่
ในดงหนาม จึงมีชื่ออย่างนี้ (กณฺฐกวุตฺติกา)
เขากล่าวว่า พวกนิครนถ์ที่ใช้ผ้าผืนเดียว ชื่อว่า ลหิตาภิชาติ
(กำเนิดแดง) ว่ากันว่า นิครนถ์พวกนี้บริสุทธิ์กว่า 2 พวกแรก.

เขากล่าวว่า สาวกของอเจลกะที่เป็นคฤหัสถ์ นุ่งขาวห่มขาว
ชื่อว่า หลิทฺทาภิชาติ (กำเนิดเหลือง) นิครนถ์ทั้งหลาย ทำพวกสาวกที่
เป็นคฤหัสถ์ ผู้ถวายปัจจัยของตน ให้มีความสำคัญกว่าพวกนิครนถ์
ด้วยกัน ด้วยอาการอย่างนี้.
เขากล่าวว่า พวกอาชีวกผู้ชาย พวกอาชีวกผู้หญิง นี้ชื่อว่า
สุกกาภิชาติ ว่ากันว่า อาชีวกทั้งหญิงและชายเหล่านั้นบริสุทธิ์กว่า
4 พวกแรก.
เขากล่าวว่า เจ้าลัทธิ ชื่อ นันทะ วัจฉะ สังกิจจะ มักขลิโคสาล
ชื่อว่า ปรมสุกกาภิชาติ. ว่ากันว่า เจ้าลัทธิเหล่านั้น บริสุทธิ์กว่าพวกอื่น
ทั้งหมด.
มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวว่า ภูมิ (ระดับของการเจริญเติบโต)
ของคนมี 8 ภูมิเหล่านี้คือ มันทภูมิ 1 ขิฑฑาภูมิ 1 วีมังสกภูมิ 1
อุชฺคตภูมิ 1 เสขภูมิ 1 สมณภูมิ 1 ชานนภูมิ 1 ปันนภูมิ 1 ด้วยบทว่า
อฏฺฐ ปุริสภูมิโย.

บรรดาภูมิทั้ง 8 นั้น ตลอด (เวลา) 7 วัน จำเดิมแต่วันเกิด
สัตว์ทั้งหลายนับว่ายังอ่อนแอ โง่เง่า เพราะออกมาจากสถานที่คับแคบ
เขาว่า นี้ชื่อว่า มันทภูมิ.

ส่วนสัตว์เหล่าใดมาจากทุคคติ สัตว์เหล่านั้น ชอบร้องไห้บ่อยๆ
และร้องดังด้วย (ส่วน) สัตว์เหล่าใดมาจากสุคติ สัตว์เหล่านั้นหวนระลึก
ถึงสุคตินั้น แล้วก็ชอบหัวเราะ นี้ชื่อว่า ขิฑฑาภูมิ.
การจับมือหรือเท้าของมารดาบิดา (หรือ) จับเตียงหรือตั่งแล้ว
วางเท้าลงเหยียบพื้น ชื่อว่า วิมังสกภูมิ.

เวลาที่สามารถเดินได้ ชื่อว่า อุชุคตภูมิ
ระยะเวลาที่ศึกษาศิลปะ. ชื่อว่า เสขภูมิ.
เวลาที่ออกจากเรือนบวช ชื่อว่า สมณภูมิ
เวลาที่มีความรู้เพราะส้องเสพ (ศึกษามาจาก) อาจารย์ ชื่อว่า
ชานนภูมิ.
เขากล่าวถึงสมณะผู้ไม่ฉลาดอย่างนี้ว่า ก็ภิกษุเป็นผู้พลัดตก
(จากประโยชน์) เสียแล้ว (เพราะ) พระชินเจ้า หาตรัสอะไรไว้ด้วยไม่
นี้ชื่อว่า ปันนภูมิ.
บทว่า เอกูนปัญฺญาส อาชีวสเต ได้แก่ วิธีดำเนินชีวิต 4,900
บทว่า ปริพฺพาชกสเต ได้แก่ การบวชเป็นปริพพาชก 100.
บทว่า นาควาสสเต ได้แก่ นาคมณฑล 100.
บทว่า วีเส อินฺทฺริยสเต ได้แก่ อินทรีย์ 2,000
บทว่า ตึเส นิรยสเต ได้แก่ นรก 3,000
มิจฉาทิฏฐิกบุคคลกล่าวหมายถึงหลังมือและหลังเท้าเป็นต้น
ซึ่งเป็นที่โปรยธุลีลิง ด้วยบทว่า รโชธาตุโย.
กล่าวหมายถึง อูฐ โค ฬา แพะ สัตว์เลี้ยงเนื้อ และกระบือ ด้วยบทว่า
สตฺตสญฺญีคพฺภา.
กล่าวหมายถึง ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวละมาน
ข้าวฟ่าง ลูกเดือย และหญ้ากับแก้ ด้วยบทว่า อสญฺญีคพฺภา.

กล่าวหมายถึง ต้นอ้อย ต้นไผ่ และต้นอ้อเป็นต้น ซึ่งมีต้น (ใหม่)
งอกขึ้นที่ตา ด้วยบทว่า นิคณฺฐิคพฺภา.

บทว่า สตฺต ทิพฺพา ได้แก่ เทพจำนวนมาก ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคล
นั้น เรียก (เทพเหล่านั้น) ว่าสัตว์. แม้มนุษย์ก็มีจำนวนมาก เขาก็เรียก
(มนุษย์เหล่านั้น) ว่าสัตว์.
บทว่า สตฺต ปิสาจา ได้แก่ ปีศาจจำนวนมากมาย มิจฉาทิฏฐิกบุคคล
ก็เรียก (ปีศาจจำนวนมากเหล่านั้น) ว่าสัตว์1
บทว่า สรา ได้แก่ สระใหญ่ เขากล่าวหมายถึงสระกัณณมุณฑะ
สระรถการะ สระอโนดาต สระสีหปปาตะ สระมณฑากินี สระมุจจลินท์
และสระกุณาละ.

บทว่า ปวุฏา ได้แก่ ห้วง2
บทว่า ปปาตา ได้แก่เหว ใหญ่2
บทว่า ปปาตสตานิ ได้แก่ เหวเล็ก 700.
บทว่า สุปินา ได้แก่ สุบินใหญ่ 7.
บทว่า สุปินสตานิ ได้แก่ สุบินเล็ก 7.
บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่ มหากัปทั้งหลาย
ในข้อนี้ เจ้าลัทธินั้นมีความเห็นดังนี้ว่า เมื่อบุคคลเอาปลายหญ้าคา
จุ่มน้ำออกจากสระใหญ่ 1 สระ โดย 100 ปี ต่อน้ำ 1 หยด แล้วทำ
สระนั้นให้แห้งถึง 7 ครั้ง (อย่างนี้) จัดเป็นมหากัป 1. พาลและบัณฑิต
1. อรรถกถาว่า สตฺต ทิพฺพาติ พหุเทวา โสมนสตฺตาติ วทติ มนุสฺสาปิ อนนฺตา สตฺตาติ วทติ.
สตฺต ปิสาจาติ มหนฺตมหนฺตา สตฺตาติ วทติ. ฉบับพม่าเป็น สตฺต เทวาติ พหู เทวา, โส ปน
สตฺตาติ วทติ. มนุสฺสาปิ อนนฺตา, โส สตฺตาติ วทติ. สตฺต เปสาจาติ ปิสาจา มหนฺตมหนฺตา,
สตฺตาติ วทติ. แปลตามฉบับพม่า.
2. ฉบับพม่าเป็น ปวุฏาติ คณฺฐิตา. ปปาตาติ มหาปปาตา.

ปล่อยให้มหากัปเห็นปานนี้ สิ้นไปได้ 8,400,000 มหากัป แล้วก็
จะทำที่สุดทุกข์ได้.
เชื่อกันว่า ในระยะเวลาระหว่างนั้น แม้บัณฑิตก็ไม่สามารถจะ
บริสุทธิ์ได้ ทั้งคนพาลก็ไม่เลยจากนั้นไปได้.
บทว่า สีเลน วา ได้แก่ ด้วยศีลของอเจลกะหรือด้วยศีลอย่างอื่น
ชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้ด้วยวัตรก็เช่นนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ตเปน ความว่า ผู้ใดคิดว่า เราเป็นบัณฑิต แล้วบริสุทธิ์
ในระยะเวลาระหว่าง (มหากัปเหล่านั้น) ผู้นั้นชื่อว่าทำกรรมที่ยัง
ไม่สุกงอม ให้สุกงอม ด้วยการบำเพ็ญตบะ. ผู้ใดคิดว่า เขาเป็นพาล
ดังนี้แล้ว ล่วงเลยเวลากำหนดดังกล่าวแล้วไป ผู้นั้นชื่อว่าได้สัมผัสกรรม
ที่ยังไม่สุกงอมแล้วทำให้สิ้นสุดไปได้.
บทว่า เหวํ นตฺถิ คือ เอวํ นตฺถิ. ก็กรรมทั้งสองอย่างนั้น เจ้าลัทธิ
แสดงว่า ใครๆไม่สามารถจะทำได้.
บทว่า โทณมิเต แปลว่า เป็นเหมือนตวงด้วยทะนาน.
บทว่า สุขทุกฺเข คือ สุขทุกฺขํ (แปลว่า สุขและทุกข์)
บทว่า ปริยนฺตกเต คือ (สังสารวัฏ) ถูกทำให้มีที่สุดได้ตาม
เวลามีกำหนดดังกล่าวแล้ว.
บทว่า นตฺถิ ทายนวฑฺฒเน คือไม่มีความเสื่อมและเจริญ
อธิบายว่า สังสารวัฏของบัณฑิตก็ไม่เสื่อม (สิ้นสุดลง) ของคนพาล
ก็ไม่เจริญ (ยืดออกไป).
บทว่า อุกฺกํสาวกํเส นี้เป็นไวพจน์ของความเสื่อมและความเจริญ
เหมือนกัน.

บัดนี้ เมื่อจะให้ความหมายนั้นสำเร็จด้วยอุปมา พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสคำว่า เสยฺยถาปิ นาม เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุตฺตคุเฬ ได้แก่ กลุ่มด้ายที่กรอไว้
กำลังคลี่คลายออกไปนั่นเอง.
ด้วยบทว่า ปเลติ เจ้าลัทธิแสดงว่า กลุ่มด้ายที่วาง (เงื่อนหนึ่ง) ไว้
บนภูเขา หรือบนยอดไม้ แล้วขว้างไป จะคลี่คลายไปตามขนาด
(ความยาว) ของด้าย เมื่อด้ายหมดแล้ว ก็จะหยุดลงในที่นั้นแหละ
ไม่ไปต่อ ฉันใด พาลและบัณฑิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อแก้ไขไป
ก็จะสิ้นสุดความสุขความทุกข์ได้ ตามอำนาจกาลเวลา คือจะผ่านพ้น
สุขทุกข์ไปได้ ตามกาลเวลาดังกล่าวแล้ว.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 8 ถึงสูตรที่ 10.

11. อันตวาสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่าโลกมีที่สุด



[436] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นรากฐาน ฯลฯ เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ อันตรวาสูตร